โช๊คอัพคือ อุปกรณ์ที่ช่วยซับแรงกระแทกจากการขับขี่ ลดการสั่นสะเทือน ช่วยให้รถเกาะถนน เลี้ยวและหยุดรถได้อย่างเฉียบคมและแม่นยำ ทั้งยังช่วยให้นั่งสบาย ดังนั้นคุณจึงควรใส่ใจดูแลให้โช๊คอัพยังคงทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่เสื่อมสภาพหรือชำรุดก่อนเวลาอันควร หรือใช้งานได้ยาวนานขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประหยัดเงิน ซึ่งวิธีดูแลรักษาโช๊คอัพนั้นง่ายกว่าที่คุณคิด เพราะเริ่มได้ตั้งแต่การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน
7 เทคนิคการดูแลรักษาโช๊คอัพ
การดูแลรักษาโช๊คอัพไม่ใช่เพียงการเช็กว่า โช๊คอัพเริ่มเสื่อมสภาพและถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วหรือยัง เพราะการดูแลรักษาโช๊คอัพมีมากกว่าการเปลี่ยนโช๊คอัพคู่ใหม่ แต่การดูแลนั้นเริ่มได้ตั้งแต่การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน
1. ตรวจเช็กโช๊คอัพเป็นประจำ
การตรวจเช็กโช๊คอัพเป็นประจำทุก ๆ การใช้งาน 10,000 กิโลเมตร คือพื้นฐานแรกของการดูแลรักษาโช๊คอัพ เพื่อให้รู้ว่า ณ เวลานี้ โช๊คอัพของคุณยังคงสภาพดีหรือไม่ เริ่มเมื่อสภาพหรือชำรุดแล้วหรือยัง เพราะหากมีอาการผิดปกติแม้เพียงน้อยนิด ควรรีบเปลี่ยนโช๊คอัพเสียใหม่ทันที เพื่อไม่ให้กระทบการทำงานของช่วงล่างส่วนอื่น ๆ
2. เปลี่ยนโช๊คอัพตามกำหนด
โช๊คอัพมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 – 100,000 กิโลเมตร หรือทุก ๆ 3 ปี คุณควรเปลี่ยนโช๊คอัพทันทีเมื่อใช้งานถึงเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง แม้ว่าโช๊คอัพจะไม่มีอาการเสื่อมสภาพหรือชำรุดก็ตาม แต่ทั้งนี้หากคุณใช้งานรถยนต์อย่างสมบุกสมบัน โช๊คอัพอาจเสื่อมสภาพก่อนกำหนด ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคุณจึงควรตรวจเช็กโช๊คอัพเป็นประจำทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร
3. ทำความสะอาดโช๊คอัพ
สิ่งสกปรกต่าง ๆ เช่น ฝุ่น หิน ดินอาจเป็นต้นเหตุให้โช๊คอัพชำรุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสิ่งสกปรกเหล่านั้นเกาะอยู่ที่ซีลยางหรือแกนโช๊คอัพจนแข็ง เพราะอาจบาดซีลหรือแกนโช๊คอัพจนเกิดการรั่วซึมของน้ำมันไฮดรอลิก คุณจึงควรทำความสะอาดโช๊คอัพเป็นประจำด้วยการฉีดน้ำใส่เบา ๆ ไล่ชำระสิ่งสกปรกออกไป
4. เปลี่ยนโช๊คอัพเป็นคู่
หลายคนอาจเลือกประหยัดงบประมาณ ด้วยการเปลี่ยนโช๊คอัพทีละข้าง หรือเลือกเปลี่ยนเฉพาะข้างที่มีการเสื่อมสภาพแล้ว แต่นี่คือ สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะจะทำให้การทำงานของโช๊คอัพไม่สมดุล รถอาจส่ายไปมาได้ และโช๊คอัพข้างที่เสื่อมจะทำให้โช๊คอัพข้างที่ดีเสื่อมสภาพตามไปด้วยอย่างรวดเร็วเพราะทำงานหนักมากขึ้น
5. ไม่วิ่งทางขรุขระ
คุณควรเลี่ยงการวิ่งบนถนนขรุขระ ไม่เรียบ มีหลุมมีบ่อบ่อย ๆ เพราะโช๊คอัพจะทำงานหนัก ต้องรับแรงกระแทกกระเทือนอย่างมาก และยิ่งหากขับขี่ด้วยความเร็วสูง โช๊คอัพก็จะยิ่งทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม เป็นการเร่งความเสื่อมสภาพให้โช๊คอัพมากขึ้น และโอกาสแตกหักหรือชำรุดยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย หากต้องขับขี่บนถนนขรุขระอย่างเลี่ยงไม่ได้ ควรขับขี่ด้วยความเร็วต่ำเพื่อไม่ให้โช๊คอัพต้องทำงานเกินขีดจำกัด
6. บรรทุกน้ำหนักให้เหมาะสมกับประเภทรถ
รถยนต์แต่ละประเภทถูกออกแบบให้มีช่วงล่างที่ต่างกันเพื่อการใช้งานและการบรรทุกน้ำหนักที่ต่างกัน จึงไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินความสามารถของรถยนต์คันนั้น ๆ เพราะหากบรรทุกหนักเกินไปจะทำให้โช๊คอัพต้องทำงานหนัก อายุการใช้งานจึงสั้นลง ยิ่งหนัก ยิ่งเสื่อมสภาพไว และยังส่งผลเสียต่อการควบคุมรถอีกด้วย รถไม่สมดุล การทรงตัวของรถเสีย ควบคุมรถได้ยาก รถอาจเสียหลักและพลิกคว่ำได้
7. เลือกใช้โช๊คอัพคุณภาพดีและเหมาะสม
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือ การเลือกใช้โช๊คอัพที่มีคุณภาพดี เหมาะสมกับการใช้งาน และเหมาะสมกับรุ่นรถยนต์ ไม่ควรเลือกโช๊คอัพเพราะราคาถูกกว่า ควรเลือกที่คุณภาพ และเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน หากขับเร็ว บรรทุกหนัก ก็ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน และควรเลือกให้เหมาะกับรุ่นรยนต์ ไม่ควรดัดแปลงโช๊คอัพ เพราะนั่นอาจทำให้โช๊คอัพชำรุดได้
ไม่ดูแลรักษาโช๊คอัพ อันตรายอย่างไร
การดูแลโช๊คอัพ นอกจากช่วยยืดอายุการใช้งาน ช่วยประหยัดเงินในการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนโช๊คอัพใหม่ได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยร่วมด้วย เพราะหากโช๊คอัพเสื่อมสภาพจะส่งผลต่อการทำงานของช่วงล่างและการควบคุมรถ ดังต่อไปนี้
- รถไม่เกาะถนน เข้าโค้งได้ไม่แม่นยำเฉียบคม
- รถโคลงเคลงไปมา โดยเฉพาะตอนเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวโค้ง
- การกระจายน้ำหนักแย่ลง หน้ายางเสื่อมสภาพไม่เท่ากัน
- ระยะเบรกเพิ่มขึ้น เบรกไม่ค่อยอยู่
- ห้องโดยสารแข็งกระด้างหรือยวบยาบ นั่งไม่สบาย
Profender จำหน่ายโช๊คอัพคุณภาพสูง เกรดส่งออกทั่วโลก มีโช๊คอัพให้เลือกหลายรุ่น ออกแบบมาให้ใช้งานตรงตามประเภทการใช้งาน และมีโช๊คอัพสำหรับรุ่นรถยนต์ให้เลือกหลายรุ่น ทั้งรถกระบะ รถเก๋ง รถ SUV รถไฟฟ้า และรถมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องดัดแปลงโช๊คอัพ และยังมีช่างผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาและบริการ หากต้องการใช้บริการ สามารถติดต่อสอบถามและจองคิวได้ที่ Facebook: Profendershox
บทความที่น่าสนใจ
สินค้าที่น่าสนใจ
FORD
EVEREST BITURBO
Pickup/Suvs/Van
ALPHARD